หมอออนไลน์: ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) คือ ภาวะที่ไส้ติ่งเกิดการอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่พบบ่อยและจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยส่วนใหญ่คือการผ่าตัด ไส้ติ่งเป็นอวัยวะขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายนิ้วมือ ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้น เชื่อมต่อกับลำไส้ใหญ่ตรงตำแหน่งที่ลำไส้เล็กสิ้นสุดลง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าไส้ติ่งมีหน้าที่อะไรในร่างกาย แต่หากเกิดการอักเสบขึ้นอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้
สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ
ไส้ติ่งอักเสบมักเกิดจากการที่ช่องว่างภายในไส้ติ่งเกิดการอุดตัน ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในไส้ติ่งเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบตามมา การอุดตันนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ:
อุจจาระแข็งตัว (Fecalith): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด อุจจาระที่แข็งตัวเป็นก้อนเล็กๆ เข้าไปอุดตันทางเปิดของไส้ติ่ง
ต่อมน้ำเหลืองในผนังลำไส้โต: โดยเฉพาะหลังจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมและไปปิดกั้นทางเข้าไส้ติ่ง
สิ่งแปลกปลอม: เช่น เมล็ดพืชเล็กๆ (แต่พบน้อยมาก) หรือปรสิต
เนื้องอก: ซึ่งพบได้น้อยกว่า แต่สามารถอุดตันทางเปิดของไส้ติ่งได้
เมื่อเกิดการอุดตัน เลือดที่ไปเลี้ยงไส้ติ่งจะลดลง ผนังไส้ติ่งจะเริ่มตายและเกิดการเน่าเปื่อย หากไม่ได้รับการรักษา ไส้ติ่งที่อักเสบอาจแตกออก ทำให้เชื้อโรคกระจายเข้าสู่ช่องท้อง เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการของไส้ติ่งอักเสบ
อาการของไส้ติ่งอักเสบมักจะเริ่มต้นอย่างเฉียบพลันและแย่ลงอย่างรวดเร็ว อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
ปวดท้อง:
อาการเริ่มต้น: มักจะเริ่มปวดรอบๆ สะดือ หรือบริเวณกลางท้อง โดยอาการปวดจะกำกวม ไม่ชัดเจน
อาการที่รุนแรงขึ้น: ภายในไม่กี่ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ ท้องน้อยด้านขวา (Right Lower Quadrant) ซึ่งเป็นตำแหน่งของไส้ติ่ง และอาการปวดจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ลักษณะการปวด: เป็นการปวดแบบเสียดๆ เป็นพักๆ แล้วค่อยๆ ปวดตลอดเวลา และจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ไอ จาม หรือกดบริเวณท้องน้อยด้านขวา
เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน (อาจมีหรือไม่มีก็ได้)
ไข้ต่ำๆ: อุณหภูมิร่างกายมักไม่สูงมากในช่วงแรก แต่จะสูงขึ้นหากมีการติดเชื้อรุนแรงขึ้นหรือไส้ติ่งแตก
ท้องผูก หรือ ท้องเสียเล็กน้อย: (พบน้อย)
ท้องอืด
อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้: ปัสสาวะบ่อยขึ้น หากไส้ติ่งอยู่ใกล้กระเพาะปัสสาวะ
ข้อควรสังเกต: อาการปวดท้องเป็นอาการสำคัญที่สุดของไส้ติ่งอักเสบ แต่ในเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ หรือผู้สูงอายุ อาการอาจไม่ชัดเจน หรือตำแหน่งของไส้ติ่งอาจแตกต่างไป ทำให้ปวดในตำแหน่งอื่นได้
การวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ
การวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องได้รับการประเมินจากแพทย์อย่างละเอียด:
การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะซักถามอาการละเอียด และตรวจหน้าท้อง โดยการคลำ กด และปล่อยบริเวณหน้าท้องเพื่อดูการตอบสนองต่อความเจ็บปวด
การตรวจเลือด: ตรวจหาเม็ดเลือดขาวที่สูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อและการอักเสบ
การตรวจปัสสาวะ: เพื่อแยกโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
การตรวจทางภาพรังสี:
อัลตราซาวด์ (Ultrasound): เป็นการตรวจที่นิยมใช้ โดยเฉพาะในเด็กและสตรีมีครรภ์ เพื่อดูขนาดและลักษณะของไส้ติ่ง
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบและช่วยแยกโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน
การรักษาไส้ติ่งอักเสบ
การรักษาหลักของไส้ติ่งอักเสบคือ การผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก (Appendectomy) โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันการแตกของไส้ติ่ง การผ่าตัดมี 2 วิธีหลัก:
การผ่าตัดแบบเปิด (Open Appendectomy): เป็นการผ่าตัดแบบดั้งเดิม โดยแพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กบริเวณท้องน้อยด้านขวา เพื่อนำไส้ติ่งที่อักเสบออกมา
การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Appendectomy): เป็นวิธีที่นิยมมากขึ้น โดยแพทย์จะเจาะรูเล็กๆ หลายรูที่หน้าท้อง และสอดกล้องและเครื่องมือผ่าตัดเข้าไป การผ่าตัดด้วยวิธีนี้ทำให้แผลเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว
ในบางกรณีที่ไส้ติ่งอักเสบไม่รุนแรงมาก หรือมีข้อจำกัดในการผ่าตัดทันที แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการอักเสบก่อน แต่การผ่าตัดยังคงเป็นการรักษาหลักที่แนะนำที่สุด
ภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษา
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไส้ติ่งอักเสบอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต:
ไส้ติ่งแตก (Ruptured Appendix): เชื้อโรคและอุจจาระจะแพร่กระจายเข้าสู่ช่องท้อง
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis): การติดเชื้อและอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิต
ฝีในช่องท้อง (Abscess): การสะสมของหนองในช่องท้อง ซึ่งอาจต้องได้รับการระบายออก
การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis): เป็นภาวะติดเชื้อที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกายและเป็นอันตรายถึงชีวิต
ไส้ติ่งอักเสบเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่สำคัญ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการปวดท้องรุนแรงที่ท้องน้อยด้านขวา หรือมีอาการอื่นๆ ที่สงสัย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะอาจบดบังอาการและทำให้การวินิจฉัยล่าช้าได้ครับ